วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558

เกร็ดการร่างกฎหมาย 8: ต้องคำพิพากษาให้จำคุก - ต้องจำคุกจริงหรือไม่

นายปกรณ์ นิลประพันธ์[1]

                   เมื่อหลายวันก่อนผู้เขียนมีโอกาสไปชี้แจงร่างกฎหมายฉบับหนึ่ง บังเอิญมีนักกฎหมายผู้ใหญ่ท่านหนึ่งถามขึ้นอย่างเป็นทางการในที่ประชุมว่า การที่กฎหมายบัญญัติว่า “ต้องคำพิพากษาให้จำคุก” นั้น ต้องมีการจำคุกกันจริง ๆ หรือไม่ หรือเพียงแต่ศาลท่านพิพากษาให้ผู้นั้นต้องรับโทษจำคุกก็ครบองค์ประกอบแล้ว

                   ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าท่านผู้ใหญ่ท่านนั้นทดสอบภูมิความรู้ของผู้เขียน หรือว่าท่านไม่รู้จริง ๆ แต่เข้าใจว่าถ้านักกฎหมายยังงงเสียเองแล้ว การให้ความเห็นทางกฎหมายอาจผิดเพี้ยนไปจากหลักการได้ จึงขอนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่เป็นเกร็ดความรู้สู่กันฟัง เผื่อคนรุ่นหลัง ๆ จะได้จำไปถ่ายทอดกันต่อไป

                   บทบัญญัติทำนองนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องลักษณะต้องห้ามหรือการสิ้นสุดสมาชิกภาพหรือการพ้นจากตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในกฎหมาย โดยมีวิธีเขียนอยู่ 2 แนวทางด้วยกัน กล่าวคือ แนวทางที่หนึ่ง จะเขียนว่า “ต้องคำพิพากษาให้จำคุก” ส่วนแนวทางที่สองจะเขียนว่า “ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก” หรือไม่ก็ “ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก”

                   ถามว่าเรื่องไหนจะใช้แนวไหนเขียน อันนี้ก็แล้วแต่เหตุผลของเรื่อง ไม่ใช่แบบ – ขอย้ำ – “ไม่ใช่แบบ” - โดยถ้าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญหรือมีความรับผิดชอบสูงมาก ๆ และผู้ร่างกฎหมายประสงค์จะให้ผู้นั้นเป็นแม่แบบในการประพฤติดีปฏิบัติชอบแก่บุคคลทั่วไป (Role model) เช่น รัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร กรรมการ ป.ป.ช. เป็นต้น เขาก็จะใช้แนวทางที่หนึ่ง คือเมื่อ “ต้องคำพิพากษาให้จำคุก” ก็สิ้นสุดสมาชิกภาพหรือการพ้นจากตำแหน่งแล้ว แต่ถ้าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทั่ว ๆ ไปหรือไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมายนัก ก็จะให้โอกาสอยู่ในตำแหน่งจนกว่าการพิสูจน์ถูกผิดจนถึงที่สุดตามกระบวนการยุติธรรมเสียก่อนได้ ผู้ร่างกฎหมายก็จะใช้แนวทางที่สองในการเขียน คือ “ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก”  หรือ “ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก”

                   มีคนช่างสงสัยถามต่อไปอีกว่าแนวทางที่สองทำไมใช้ถ้อยคำต่างกัน กรณีหนึ่งเขียนว่า  “ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก” อีกกรณีหนึ่งเขียนว่า “ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก” ความสงสัยนี้ถ้าไปอยู่ในปากของพวกนักตะแบงแทงข้างก็จะยิ่งยุ่งเหยิงหนักเข้าไปอีก เพราะจะมีการโต้แย้งขึ้นมาโดยพลันว่า เมื่อกฎหมายเขียนต่างกัน แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาต่างกัน มิฉะนั้นก็ต้องเขียนให้เหมือนกันแล้ว

                   ผู้เขียนได้ตรวจสอบกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2450) และประมวลกฎหมายอาญาฉบับปัจจุบันแล้ว แล้ว พบว่ามาตรา 7 แห่งกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 บัญญัติว่า “บุคคลควรรับอาญาต่อเมื่อ...” และมาตรา 12 บัญญัติว่า “อาญาสำหรับลงแก่ผู้กระทำผิดนั้น ท่านกำหนดไว้เปนหกสฐานดังนี้...” ซึ่งคำว่า “อาญา” ตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 จึงหมายถึง “โทษ” การรับอาญาจึงหมายถึงการรับโทษ ซึ่งมาตรา 2 ของประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อ...” ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่าการเขียนว่า “ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก” จึงสอดรับกับการเขียนเรื่องการรับอาญาตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 และหลักการรับโทษในทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา ส่วนการเขียนว่า “ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก” นั้น ค่อนไปในทางเป็นภาษาพูดและมีใช้น้อยมาก ความแตกต่างในการเขียนเช่นนี้จึงเป็นความแตกต่างของวิธีการเขียน (Style) ของผู้ร่างกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเขียนอย่างไร กรณีก็สื่อความหมายเดียวกัน   

                   ย้อนกลับมาที่คำถามว่าการจำคุกไม่ว่าจะเขียนโดยประการใดนั้น ต้องมีการจำคุกจริงหรือไม่ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยวางหลักไว้ในเรื่องเสร็จที่ 34/2488 แล้วว่าต้องมีการจำคุกกันจริง ๆ ด้วย เพราะมาตรา 74 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ใช้บังคับมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2478 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีการแก้ไขเลยนั้นบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 73 และมาตรา 185 วรรค 2 เมื่อผู้ใดต้องคำพิพากษาให้จำคุกหรือประหารชีวิต หรือจะต้องจำคุกแทนค่าปรับ ให้ศาลออกหมายจำคุกผู้นั้นไว้” กล่าวคือ เมื่อผู้ใดต้องคำพิพากษาให้จำคุกต้องมีหมายของศาลให้จำคุกผู้นั้นไว้ด้วย ถ้าศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแต่ให้รอการลงโทษไว้ตามมาตรา 56 หรือมาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายอาญา หรือศาลยกโทษจำคุกแก่จำเลยตามมาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ก็ยังไม่ต้องออกหมายจำคุก

                   นอกจากคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าวแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญก็เคยวินิจฉัยในเรื่องเดียวกันนี้ไว้ในคำวินิจฉัยที่ 36/2542 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2542 ด้วย

                   อย่าเผลอไปตอบว่าเป็นแบบอีกล่ะ!!

                   อ้างอิง
                   เรื่องเสร็จที่ 34/2488
                   คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 36/2542
                  กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 (ราชกิจจานุเบกษาเล่ม 25 ฉบับพิเศษ วันที่ 1 มิถุนายน ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2450) หน้า 206
                   ประมวลกฎหมายอาญา
                   ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา



[1]กรรมการร่างกฎหมายประจำ (นักกฎหมายกฤษฎีกาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (2558) 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น